แนวหน้า : ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ในฐานะประธานศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) กล่าวถึงการพิจารณารายชื่อข้าราชการที่พัวพันการทุจริตในครั้งต่อไป ว่า ตอนแรกตั้งใจจะให้มีการประชุม ศอตช.ทุกเดือน แต่เนื่องจากแต่ละหน่วยงานมีงานที่รับผิดชอบ จึงจะดูเป็นกรณีไป ยังไม่ได้มีการกำหนดการประชุมครั้งต่อไป ซึ่งจะดูคดีจาก 4 หน่วยงาน คือ คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้งบประมาณภาครัฐ (คตร.) สำนักงานผู้ตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ซึ่งจะมีผลการสอบสวนออกมาทุกเดือน ทั้งนี้ หากหน่วยงานเหล่านี้มีผลการสอบสวนออกมาว่า มีเหตุผล มีฐานความผิด ดำเนินการได้จริง ก็จะส่งให้นายกรัฐมนตรีอีก แต่หากเดือนไหนผลการสอบสวนไม่ออกมาก็เว้นไป

     อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ตน แต่ขึ้นอยู่กับ 4 หน่วยงานนี้ ที่จะรายงานมายัง ศอตช.จากนั้นจะเรียกประชุม ศอตช.เพื่อมาฟังเหตุผล ยืนยันว่า ตนไม่ได้เร่งรัดหน่วยงานเหล่านี้ ไม่ได้ชี้นำ แต่หน่วยงานเขาตรวจสอบเป็นปกติ เพียงแต่เมื่อได้ผลออกมา หากเป็นคดีอาญาจะเสนอไปตามสายงาน แต่หากเป็นเรื่องวินัยและปกครองจะส่งมาทาง ศอตช.

   "ศอตช.ไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาของ ป.ป.ช. ,สตง. ,อัยการ หรือศาล เพียงแต่ว่าเราขอความร่วมมือในเรื่องการทุจริต เพราะเรื่องการป้องกันและปราบปรามการทุจริตมีหลายหน่วยงานมาก หากไม่บูรณาการผลจะไม่ออกมาแบบนี้ จะไม่สามารถส่งรายชื่อไปให้นายกฯ เหมือนครั้งนี้ ซึ่งถ้าเป็นในส่วนของอาญาจะช้า 2 - 3 ปี เพราะมีขั้นตอน ก็จะมีคนพูดว่ารัฐบาลไม่ทำอะไร ประเทศไม่ทำอะไร เรื่องนี้ ทุกหน่วยงานหารือกันว่าควรจะเอาคนที่มีปัญหาออกจากจุดที่มีปัญหาก่อน จึงจำเป็นต้องให้ คสช.ที่สามารถดำเนินการได้ไวทำ ถึงจะได้เห็นผลว่าเอาจริงเอาจัง ซึ่งเราไม่ได้ไปพักงานเขา เพียงแต่ขยับออกไปก่อน ให้ไปอยู่คนละตำแหน่ง แต่ระดับเดิมหมด" พล.อ.ไพบูลย์ กล่าว